10 Recommend Wine July 2025 Week 2

5 กรกฎาคม 2025
Posted in: Selection
More from this author
By WINE-NOW

10 ไวน์แนะนำประจำสัปดาห์จาก Wine-Now.asia

เมื่อฤดูกาลแห่งการเฉลิมฉลองมาถึงอีกครั้ง เราได้คัดสรรไวน์ระดับคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลกที่ “เหมาะแก่การเปิดดื่มในช่วงเวลาพิเศษ” มานำเสนอในสัปดาห์นี้ ทั้งไวน์แดงสุดเข้มข้นจากออสเตรเลียและฝรั่งเศส ไวน์ขาวจากไร่องุ่นแหล่งชื่อดังของเยอรมัน และแชมเปญที่มาพร้อมฟองซ่าแบบ artisanal สายบูติก

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรัก Shiraz, ชอบ Riesling เยอรมันแบบ trocken, หรือกำลังมองหาไวน์เนื้อลึกจาก Bordeaux ที่ดื่มแล้วให้ความรู้สึก “คลาสสิกเหนือกาลเวลา” คุณจะพบสิ่งที่ใช่ในลิสต์นี้


1. Penfolds St.Henri Shiraz

Penfolds St. Henri Shiraz คือบทกวีของความแตกต่าง ท่ามกลางยุคสมัยที่ไวน์ Shiraz ส่วนใหญ่ถูกบ่มในถังไม้โอ๊กใหม่เพื่อความเข้มข้นและความหรูหรา Penfolds เลือกเดินสวนทาง โดยสร้างไวน์ที่ไม่ต้องพึ่งพาถังใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว

St. Henri ถือกำเนิดครั้งแรกในปี 1953 แต่สูตรที่ใช้ในปัจจุบันมีรากเหง้าย้อนกลับไปถึง ปี 1890 โดยเป็นหนึ่งในไวน์เพียงไม่กี่ตัวในโลกที่เน้น “ผลไม้” เป็นพระเอกเต็มตัว และปล่อยให้กาลเวลาเป็นผู้แต่งแต้มรายละเอียด

ในโลกของ Penfolds ที่มี Grange เป็นดั่งราชาแห่งไวน์ St. Henri คือลายเซ็นแห่งความนุ่มนวล สง่างาม และเปี่ยมเสน่ห์แบบ คลาสสิกไร้กาลเวลา” — เป็นไวน์ที่ผู้รู้มักเก็บไว้เพื่อบ่มให้ถึงจุดพีคอย่างแท้จริง

คาแรกเตอร์เด่น:

Shiraz ที่แสดงออกถึง “ตัวตนที่แท้จริง” ของผลไม้
ไม่ผ่านการบ่มในไม้โอ๊กใหม่ ทำให้กลิ่นและรสชาติของ Shiraz ในไวน์นี้บริสุทธิ์ นำโดยโน้ตของพลัมสุก แบล็กเบอร์รี่ และกลิ่นเนื้อย่างเบา ๆ

ใช้ถังไม้โอ๊กขนาดใหญ่แบบเก่า (Large Old Oak Vats)
ช่วยให้ไวน์พัฒนากลิ่นอันซับซ้อนโดยไม่กลบรสนิยมขององุ่น เป็นเทคนิคที่หาได้ยากในยุคปัจจุบัน

โครงสร้างแน่นแต่สงบ เรียบแต่ลึกซึ้ง
ให้สัมผัสนุ่มนวลแบบคลาสสิก บาลานซ์ระหว่างพลังของ Shiraz กับความสง่างามในสไตล์ฝรั่งเศสเก่า

เหมาะสำหรับการเก็บบ่ม
St. Henri มีชื่อเสียงในด้าน “ความคุ้มค่าเมื่อบ่ม” — ไวน์จะค่อย ๆ คลี่คลาย กลายเป็นกลิ่นหนัง ใบซิการ์ และแร่ธาตุอย่างงดงามในอีกหลายสิบปี

2. Champagne Alain Navarre Cuvée Tradition Brut

ในดินแดนแชมเปญที่เต็มไปด้วยตำนานของขุนนางและแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ยังมีหนึ่งเสียงที่เปล่งประกายจากความภาคภูมิใจของ “ผู้ผลิตขนาดเล็ก” ที่ลงมือสร้างด้วยสองมือของตนเอง — นั่นคือครอบครัว Navarre จากหมู่บ้าน Trélou-sur-Marne ทางตะวันตกของแคว้น Champagne

Alain Navarre คือชื่อของผู้ผลิตแชมเปญรุ่นที่ 3 ของตระกูล ที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณของการผลิตแบบ Récoltant-Manipulant (ทำเองตั้งแต่ปลูกจนบรรจุขวด) โดยใช้เพียงองุ่นจากไร่ของตนเองทั้งหมด ทำให้ได้แชมเปญที่สะท้อน terroir ของ Vallée de la Marne อย่างลึกซึ้ง

Cuvée Tradition Brut เป็น “คูเว่ต์หลัก” ที่เปิดเผยตัวตนของบ้าน Navarre ได้อย่างซื่อตรง — เป็นแชมเปญที่อ่อนน้อมแต่เปี่ยมคุณภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบแชมเปญสาย Artisan ที่ผลิตแบบใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน

คาแรกเตอร์เด่น:

สัดส่วน Pinot Meunier นำเด่น (เกิน 60%)
ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแคว้น Vallée de la Marne ที่เน้นความกลมกล่อม หอมผลไม้ และดื่มง่ายในแบบสายบ้าน ๆ ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว

กลิ่นหอมของขนมปังปิ้ง เบอร์รี่ขาว และดอกไม้ขาว
โทนกลิ่นที่ผสานความฟลอรัลกับความอบอุ่นแบบบาแกตต์อบใหม่ สร้างความสมดุลที่ดื่มแล้วรู้สึก “เรียบแต่มีชั้นเชิง”

บับเบิลเนียนละเอียด ปลายลิ้นสะอาดสดชื่น
แม้จะไม่เน้นความซับซ้อนระดับแชมเปญวินเทจ แต่กลับชนะใจด้วยความสมดุลและโครงสร้างที่มั่นคงดื่มเพลิน

ผลิตด้วยฝีมือจากไร่ของตนเองทั้งหมด (Estate-Grown)
เป็นแชมเปญที่ปลูก ทำ และบ่มโดยคนในครอบครัวทุกขั้นตอน จึงเปี่ยมด้วยความจริงใจและสะท้อน terroir ของแคว้นอย่างแท้จริง

3. Glaetzer Bishop

ในดินแดน Barossa Valley ที่ออสเตรเลีย — หนึ่งในแหล่งปลูกไวน์ Shiraz ชั้นนำของโลก — มีชื่อหนึ่งที่ไม่เคยเงียบหายจากเวทีไวน์ระดับโลก นั่นคือ “Glaetzer” (เกลทเซอร์) ตระกูลผู้ปลูกองุ่นและทำไวน์ใน Barossa มานานกว่า 30 ปี

Ben Glaetzer ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Glaetzer Wines คือหนึ่งในผู้บุกเบิกแนวทางใหม่ให้กับ Shiraz ออสเตรเลีย ด้วยการเน้นความเข้มข้น ละเมียด และแสดง terroir ของ Barossa ได้อย่างชัดเจน โดยเน้นไร่องุ่นเก่า (old vines) จากโซน Ebenezer ซึ่งให้ผลผลิตน้อยแต่คุณภาพสูง

ไวน์ “Bishop” ได้รับการตั้งชื่อตามสกุลเดิมของมารดา เพื่อสื่อถึงสายสัมพันธ์ของครอบครัวและความเคารพต่อรากเหง้า และยังเป็นไวน์รุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Glaetzer ไปทั่วโลก ทั้งในแง่คะแนน รีวิว และรางวัลระดับสากล

คาแรกเตอร์เด่น:

ใช้เฉพาะองุ่น Shiraz จากไร่เก่า (Old Vines) ในเขต Ebenezer
ไร่เหล่านี้มีอายุเฉลี่ยมากกว่า 35 ปี ทำให้ผลผลิตเข้มข้นและซับซ้อน – เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ Glaetzer Bishop มี “พลังและโครงสร้าง” เหนือกว่าหลายแบรนด์ในระดับราคาเดียวกัน

สไตล์เข้มข้น แต่บาลานซ์ลงตัว
กลิ่นแบล็กเบอร์รี่ พลัมเข้ม ขนมปังปิ้ง ถ่านไม้ และเครื่องเทศอย่างพริกไทยดำ – รสชาติแน่นแต่ไม่บาดคอ มีความกลมกล่อมที่ผ่านการออกแบบอย่างมีชั้นเชิง

ผ่านการบ่มใน French และ American Oak อย่างพอเหมาะ (16 เดือน)
ให้กลิ่นโอ๊กที่พอดี ไม่กลบผลไม้ พร้อมเสริมโน้ตวานิลลา ช็อกโกแลต และหนัง

Full-bodied, Tannins แน่นแต่เนียน
เนื้อสัมผัสเข้มข้น เคลือบลิ้น และมีความยาวในปลายรสที่น่าประทับใจ – ดื่มแล้วให้ความรู้สึก “พลังของ Barossa” อย่างแท้จริง

  1. Glaetzer  Bishop
    ฿1,300
    Glaetzer Bishop
    Rating:
    80%
    Explore

4. Los Vascos Le Dix de Los Vascos

Le Dix de Los Vascos ไม่ใช่แค่ไวน์ชิลีธรรมดา — แต่นี่คือไวน์ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยตระกูล Rothschild เจ้าของ Château Lafite แห่งบอร์กโดซ์ หนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

ในปี 1988 ตระกูล Rothschild ตัดสินใจขยายความฝันไปยังซีกโลกใต้ โดยเข้าซื้อกิจการไร่ไวน์ “Los Vascos” ในเขต Colchagua Valley ประเทศชิลี ซึ่งมี terroir อันยอดเยี่ยมและศักยภาพใกล้เคียงกับ Médoc

Le Dix หมายถึง “สิบ” ในภาษาฝรั่งเศส — ตั้งชื่อตามการครบรอบ 10 ปีของการบริหารไร่นี้โดย Rothschild ในปี 1998 และกลายเป็น “Flagship Wine” ที่สะท้อนความลุ่มลึกของ Cabernet Sauvignon จากชิลี ที่ถูกยกระดับด้วยความประณีตแบบฝรั่งเศส

คาแรกเตอร์เด่น:

Cabernet Sauvignon เก่าแก่ที่สุดในไร่
Le Dix ผลิตจากองุ่น Cabernet Sauvignon ที่ปลูกในบล็อกที่เก่าแก่ที่สุดของไร่ Los Vascos — ซึ่งให้ผลผลิตต่ำ แต่คุณภาพสูงสุด กลั่นรสชาติของดินและภูมิอากาศออกมาอย่างเต็มที่

บ่มใน French Oak ใหม่ 100% ถึง 18 เดือน
เพิ่มมิติของกลิ่นวานิลลา ซีดาร์ ช็อกโกแลต และเครื่องเทศ พร้อมเสริมโครงสร้างและอายุการเก็บอย่างหรูหรา

สไตล์ “Bordeaux meets Chile” ที่สมดุลทั้งพลังและความประณีต
กลิ่นแบล็กเคอร์แรนต์ พลัมสุก ใบยาสูบ และแร่ธาตุ (mineral) — พร้อมความซับซ้อนแบบ Old World และพลังของผลไม้แบบ New World

5. Sitzius Niederhauser Hermannshohle Riesling Spatlese Trocken

Sitzius เป็นหนึ่งในชื่อเสียงเก่าแก่ในแคว้น Nahe ของเยอรมนี ที่ผลิตไวน์สไตล์คราฟต์โดยเน้น terroir เป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะไร่องุ่นที่มีชื่อว่า Niederhäuser Hermannshöhle ซึ่งถือว่าเป็น “Grand Cru” ของภูมิภาค

ไร่ Hermannshöhle เป็นหนึ่งใน vineyard ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเยอรมนี ด้วยดินผสมแร่ภูเขาไฟและ slate สีเข้ม ซึ่งส่งผลให้ได้ Riesling ที่ “แสดงออกถึงกลิ่นแร่และความลึก” ได้ชัดเจนยิ่งกว่าที่ใด

ไวน์ขวดนี้คือ Riesling Spätlese Trocken (ไรส์ลิง เก็บสาย แบบแห้ง) ที่เกิดจากการเก็บเกี่ยวช้ากว่าปกติเพื่อให้ผลองุ่นมีความสุกและเข้มข้นขึ้น — แต่กลับหมักจนแห้ง (Trocken) จึงได้ไวน์ที่ทรงพลัง มี body และความซับซ้อนสูงแบบเหนือชั้น

คาแรกเตอร์เด่น:

Terroir ระดับตำนาน: Hermannshöhle
ดินผสมแร่จากหินภูเขาไฟและ slate ทำให้ไวน์มีกลิ่นแร่ (minerality) ชัดเจน ผสมกับความสดชื่นแบบ citrus และโครงสร้างที่แน่น

Riesling สไตล์ Trocken ที่มีพลัง
แม้จะเป็น Spätlese (องุ่นเก็บสาย) แต่หมักจนแห้งสนิท (Trocken) ทำให้ได้ไวน์ที่มี body หนัก กลิ่นผลไม้สุก ผสมกับเลมอน เปลือกส้ม แอปเปิลขาว และหินเปียก

กลิ่นซับซ้อนและสะอาด
กลิ่นหอมแบบส้มยูซุ แร่หิน ใบสะระแหน่ และยางสน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Riesling จากแคว้น Nahe

ของหายากสำหรับนักสะสม Riesling
Hermannshöhle ถือเป็น vineyard ชั้นนำที่นักสะสมทั่วโลกตามหา — เมื่อจับคู่กับงานฝีมือของ Sitzius จึงเกิดเป็นไวน์ที่ทั้ง “มีรากลึกในประวัติศาสตร์ และมีเสน่ห์ของโลกใหม่” ในเวลาเดียวกัน

6. Ceretto Nebbiolo d' Alba "Bernardina" BIO DOC

Ceretto คือชื่อที่คนรักไวน์อิตาลีรู้จักดีในฐานะหนึ่งในตระกูลผู้บุกเบิกไวน์คุณภาพสูงจากแคว้น Langhe แคว้นที่เป็นบ้านของ Barolo และ Barbaresco แห่ง Piemonte (ปีเอมอนเต้) ทางตอนเหนือของอิตาลี โดย Ceretto เป็นผู้บุกเบิกการใช้แนวคิด “ไวน์เป็นศิลปะ” ทั้งในด้านการทำไร่องุ่นอินทรีย์ (Organic) การใส่ใจ terroir รายแปลง และดีไซน์ฉลากที่งดงาม

ไวน์ Nebbiolo d'Alba "Bernardina" คือหนึ่งในผลงานที่สะท้อนความตั้งใจนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ไร่องุ่น “Bernardina” ตั้งอยู่ระหว่าง Barolo และ Barbaresco ทำให้ได้ terroir ที่งดงามเหมือนพรมแดนของสองตำนานไวน์ แต่ในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า

ไวน์ขวดนี้ผลิตแบบ อินทรีย์ (BIO) ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ไร่องุ่นจนถึงบรรจุขวด – จึงไม่เพียงสะท้อน terroir ของเนินเขา Langhe ได้ชัดเจน แต่ยังให้รสชาติที่บริสุทธิ์ กลมกล่อม และ “ซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติ”

คาแรกเตอร์เด่น:

Nebbiolo ที่อ่อนโยน ดื่มง่ายกว่า Barolo
ให้กลิ่นกุหลาบแห้ง เชอร์รี่สุก เครื่องเทศ และกลิ่นดินอ่อน ๆ แต่มีแทนนินที่นุ่มกว่า – เหมาะกับทั้งมือใหม่และสายเนบโบลิโอขั้นกลาง

Organic Certified – BIO DOC
ปลูกและผลิตด้วยแนวทางอินทรีย์อย่างแท้จริง ไม่มีการใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง – ให้รสสัมผัสที่ “บริสุทธิ์ และสะอาด” พร้อมแสดงบุคลิกของเนินเขา Langhe ได้อย่างเต็มที่

บ่มในถังใหญ่ (Large Oak Casks)
ใช้การบ่มแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาความสดของผลไม้ พร้อมกลิ่นไม้โอ๊กที่ละเอียด ไม่กลบรสขององุ่น

รสชาติ: เชอร์รี่ดำ พลัม กุหลาบ และใบชา
รสมีความซับซ้อนแต่เป็นมิตร – เริ่มจากผลไม้สีแดงนำ กลิ่นฟลอรัล และตามด้วยโน้ตของชาอ่อน ๆ และแร่เบา ๆ

7. Blason d'Issan Margaux

Blason d’Issan (บลาซง เดส์ซ็อง) คือ ไวน์รุ่นที่สอง” (Second Wine) ของ Château d’Issan หนึ่งในชื่อเก่าแก่และทรงเกียรติที่สุดของ Margaux ซึ่งเป็นหนึ่งใน 15 Grand Cru Classé แห่ง Médoc ที่ได้การจัดอันดับตั้งแต่ปี 1855

Château d’Issan เป็นที่รู้จักในฐานะ ไวน์สำหรับราชวงศ์” โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 12 ซึ่งเชื่อกันว่าเคยเสิร์ฟในงานอภิเษกสมรสของกษัตริย์ Henry II แห่งอังกฤษ และในยุคปัจจุบัน ยังได้รับคำชมอย่างต่อเนื่องจากนักวิจารณ์ระดับโลกว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่ให้กลิ่นหอมและความซับซ้อนอันเป็นเอกลักษณ์ของ Margaux ได้ดีที่สุด

ไวน์ Blason d’Issan คือการนำ “ความคลาสสิกของ Margaux” มานำเสนอในเวอร์ชันที่ เข้าถึงง่ายขึ้น ดื่มง่ายกว่า แต่ยังคง DNA ของ Grand Vin เอาไว้อย่างครบถ้วน — เป็นไวน์ที่เหมาะทั้งสำหรับนักสะสม และผู้ที่อยากเริ่มทำความรู้จักกับไวน์จาก Bordeaux ฝั่งซ้ายอย่างจริงจัง

คาแรกเตอร์เด่น:

Cabernet Sauvignon และ Merlot ในสัดส่วนที่กลมกล่อม
Blason d’Issan มักจะใช้สัดส่วน Cabernet Sauvignon ประมาณ 60–70% ผสมกับ Merlot ที่ให้ความนุ่มนวล – โครงสร้างดี กลิ่นหอมผลไม้สุก+ดอกไม้ และความนุ่มจาก Margaux ชัดเจน

กลิ่นหอมของไวน์สไตล์ Margaux แท้ ๆ
โดดเด่นด้วยกลิ่น กุหลาบแห้ง, แบล็กเคอร์แรนท์, เชอร์รี่ดำ, ไม้จันทน์ และใบยาสูบ – ให้สัมผัสหรูหราและมิติกลิ่นที่ซับซ้อนแม้จะเป็นไวน์รุ่นรอง

บ่มในถังโอ๊กฝรั่งเศส 12–14 เดือน
เพื่อเพิ่มกลิ่นวานิลลา ถั่ว และสัมผัสจากไม้ – แต่ยังคงเน้นความบาลานซ์ ไม่ครอบงำผลไม้

ดื่มง่ายขึ้นกว่า Grand Vin แต่ยัง “คลาสสิกแบบ Margaux” เต็มเปี่ยม
เป็นไวน์ที่เหมาะจะเปิดดื่มตั้งแต่ตอนนี้โดยไม่ต้องรออายุเก็บ แต่ก็สามารถพัฒนาได้ต่ออีก 5–7 ปี

8. Fugue De Nenin "Le 2nd Vin De Chateau Nenin"

Fugue de Nenin (ฟูก เดอ เนอแนง) คือ ไวน์รุ่นที่สอง ของ Château Nenin หนึ่งในชื่อที่น่าจับตามองของแคว้น Pomerol (โปเมอโรล) — เขตไวน์ชั้นเยี่ยมบนฝั่งขวา (Right Bank) ของ Bordeaux ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการผลิตไวน์ Merlot ชั้นเลิศ

Château Nenin ถูกเข้าซื้อและพัฒนาโดย ตระกูล Delon ในปี 1997 ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับ Château Léoville Las Cases ใน Saint-Julien และ Clos du Marquis ทำให้คุณภาพของไวน์ Nenin ก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ

ชื่อ “Fugue” มาจากศัพท์ทางดนตรี หมายถึง “บทเพลงที่มีทำนองซ้ำและทวีคูณ” — เปรียบเสมือนไวน์ขวดนี้ที่เป็น “ท่วงทำนองซ้อนเงา” ของ Grand Vin จาก Nenin นั่นเอง โดยใช้องุ่นจากไร่เดียวกันแต่จากแปลงที่มีเถาอายุน้อยกว่า หรือบ่มในถังไม้น้อยกว่า เพื่อให้ได้ไวน์ที่ดื่มง่ายขึ้นแต่ยังคงความสง่างามตามแบบฉบับของ Pomerol

คาแรกเตอร์เด่น:

Blend คลาสสิกของ Right Bank – Merlot นำ Cabernet Franc รอง
สัดส่วนของ Merlot มักอยู่ที่ 80–85% ให้ความนุ่มละมุน และกลิ่นผลไม้สุก ส่วน Cabernet Franc เสริมกลิ่นเครื่องเทศและโครงสร้างที่สง่างาม

กลิ่นหอมโดดเด่นของผลไม้แดงและดำ
สัมผัสถึง เชอร์รี่ดำ, ลูกพลัม, ราสป์เบอร์รี่, ดอกไวโอเล็ต และกลิ่น cedar จากการบ่มในถังไม้ฝรั่งเศส

บ่มใน French Oak ประมาณ 12 เดือน
เสริมความซับซ้อนแต่ไม่กลบผลไม้ — ให้รสสัมผัสกลมกล่อมและนวลเนียน

เป็น “Pomerol ที่ดื่มง่าย” เข้าถึงได้โดยไม่ต้องรอนาน
โดดเด่นด้วยความบาลานซ์, แทนนินนุ่ม และความหอมที่เปิดออกอย่างชัดเจนแม้เป็นไวน์อายุยังน้อย

9. Albert Bichot Domaine Long-Depaquit Chablis

ไวน์ขวดนี้มาจาก Domaine Long-Depaquit หนึ่งในชื่อเก่าแก่ที่สุดในแคว้น Chablis (ชาบลี) ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Albert Bichot (อัลแบร์ บีโชต์) — หนึ่งในผู้นำของโลกไวน์แห่งแคว้นบูร์กอญ (Burgundy) ที่มีอาณาเขตไร่ในหลาย Grand Cru และ Premier Cru

ไร่องุ่นของ Domaine Long-Depaquit ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน Chablis โดยมี Château สไตล์ฝรั่งเศสสุดคลาสสิกเป็นจุดศูนย์กลาง และมีการทำไวน์ด้วยแนวคิด “เคารพธรรมชาติ + ดึงศักยภาพ terroir ให้ชัดเจน” เพื่อให้ได้ไวน์ที่บริสุทธิ์และแสดงอัตลักษณ์ของดินหินปูน Kimmeridgian อันเลื่องชื่อของ Chablis อย่างแท้จริง

คาแรกเตอร์เด่น:

100% Chardonnay บริสุทธิ์ในสไตล์ Chablis
ไวน์ขวดนี้ทำจาก Chardonnay ล้วน ๆ โดยไม่มีการบ่มในถังไม้ (unoaked) เพื่อคงความบริสุทธิ์ สดใส และกลิ่นแร่ที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาค

กลิ่นแร่ (Minerality) เด่นชัด – ลายเซ็นของ Chablis ชั้นดี
สะท้อน terroir ของดินหินปูนและฟอสซิลทะเลที่พบในภูมิภาค Chablis ได้อย่างชัดเจน ให้กลิ่นแบบ “หินเปียก” และโครงสร้างที่ตึงและแม่นยำ

กลิ่นหอมสดชื่นของ citrus และ white flowers
ทั้งเลมอน, เกรปฟรุต, ดอกไม้ขาว และกลิ่นโน้ตของเปลือกหอย ทำให้ไวน์มีมิติที่สดใสและสง่างาม

ไวน์ที่ให้ความรู้สึกสะอาด บริสุทธิ์ และหรูหราแบบเบา ๆ
ดื่มง่ายแต่ไม่ธรรมดา เหมาะกับทั้งมือใหม่และนักดื่มที่ชื่นชอบความคลาสสิกของ Burgundy

  1. Albert Bichot  Domaine Long-Depaquit  Chablis
    ราคาพิเศษ ฿2,549 ฿2,700 -6%
    Albert Bichot Domaine Long-Depaquit Chablis
    Explore

10. Tenuta Belguardo Maremma Toscana DOC

Tenuta Belguardo คือโปรเจกต์ระดับเรือธงของตระกูล Mazzei (มาเซ) — ครอบครัวผู้บุกเบิกวงการไวน์อิตาลีมายาวนานกว่า 600 ปี เจ้าของชื่อดังอย่าง Castello di Fonterutoli ใน Chianti Classico ซึ่งได้ขยายอาณาเขตการทำไวน์มายัง Maremma (มาเร็มมา) พื้นที่ริมชายฝั่งตะวันตกของแคว้นทัสคานี ที่มีทั้งแสงแดดจัด ลมทะเล และดินที่สมบูรณ์แบบสำหรับไวน์แดงทรงพลัง

ไร่องุ่น Tenuta Belguardo ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาใกล้เมือง Grosseto มีเอกลักษณ์จากภูมิประเทศแบบ rolling hills และมีดินที่อุดมด้วยแร่ธาตุ และหินโบราณ ทำให้ไวน์ที่ได้มีความเข้มแต่สมดุล หอมซับซ้อน และให้เท็กซ์เจอร์แบบร่วมสมัย เหมาะกับนักดื่มไวน์ยุคใหม่ที่ต้องการไวน์แดงสไตล์ “New Tuscany” ที่ยังคงรากเหง้าแห่งความคลาสสิก

คาแรกเตอร์เด่น:

Blend สไตล์ Super Tuscan – Cabernet Sauvignon & Cabernet Franc
การผสมผสานสองสายพันธุ์จากบอร์กโดซ์ในดินแดนทัสคานี ทำให้ได้ไวน์ที่มีพลัง โครงสร้างดีเยี่ยม และมีความเป็นสากล เหมาะกับนักดื่มไวน์สมัยใหม่

สไตล์ชายฝั่งทัสคานี (Coastal Tuscany)
กลิ่นหอมของเบอร์รี่ป่า เคล้ากลิ่นดอกไม้แห้ง ไม้ซีดาร์ และกลิ่นทะเลจาง ๆ ทำให้ไวน์มีความซับซ้อนแบบภูมิภาค Maremma อย่างแท้จริง

บ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศส 16 เดือน
ช่วยเพิ่มกลิ่นวานิลลา ถั่วคั่ว หนัง และเครื่องเทศอย่างอบอุ่น แต่ยังคง fruit-forward style ไว้อย่างดีเยี่ยม

คะแนนสูงจากนักวิจารณ์ระดับโลก (90+ Points)
ไวน์รุ่นนี้ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์อย่าง James Suckling และ Wine Enthusiast ว่าเป็น “หนึ่งในไวน์ที่น่าจับตามองที่สุดของ Maremma”