10 Recommend Wine July 2025 Week 3
10 ไวน์แนะนำประจำสัปดาห์จาก Wine-Now.asia
ในสัปดาห์นี้ Wine-Now.asia ได้คัดสรรไวน์ชั้นเลิศ 10 ขวดที่น่าสนใจที่สุดจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Bordeaux สุดคลาสสิกจาก Château Grand-Puy-Lacoste ปี 2016, โรเซ่ระดับ Iconic จาก Domaines Ott หรือ Cabernet Sauvignon ชั้นเยี่ยมจาก Napa Valley อย่าง Silver Oak และ Heitz Cellar รวมถึงไวน์ระดับ Grand Label จาก Brunello, Super Tuscan ไปจนถึง Champagne Rose สุดหรูจาก Taittinger เหมาะสำหรับนักสะสมและผู้ที่ต้องการเพิ่มความพิเศษให้กับมื้อค่ำของคุณในฤดูกาลนี้
ไวน์แต่ละขวดไม่เพียงโดดเด่นด้วยชื่อเสียงและรางวัลระดับนานาชาติ แต่ยังเปี่ยมด้วยบุคลิกเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงแหล่งผลิตและเรื่องราวเบื้องหลัง ลองสัมผัสรสชาติที่ยากจะลืมจากรายชื่อไวน์ที่เรานำเสนอในสัปดาห์นี้ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมบางขวดจึงกลายเป็น “ตำนานบนโต๊ะอาหาร” ได้อย่างแท้จริง
1. Chateau Grand-Puy-Lacoste 2016
Château Grand-Puy-Lacoste (ชาโตว์ กรองด์-ปุย-ลาคอสต์) คือหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของ Bordeaux ที่ตั้งอยู่ใจกลางเขต Pauillac ซึ่งเป็นบ้านของไวน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝั่งซ้าย (Left Bank) แห่ง Médoc
ชื่อ "Grand-Puy" หมายถึงเนินเขาโบราณซึ่งเป็นจุดกำเนิดของไร่องุ่น และ “Lacoste” มาจากชื่อของตระกูลที่เคยครอบครองชาโตว์นี้ในศตวรรษที่ 16 ความเก่าแก่ของไร่นี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากการจัดอันดับ Grand Cru Classé ในปี 1855
โดยเฉพาะวินเทจปี 2016 นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในปีที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของ Médoc ด้วยสภาพอากาศที่สมบูรณ์แบบ และการเก็บเกี่ยวที่แม่นยำ ทำให้ Grand-Puy-Lacoste 2016 กลายเป็นไวน์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ระดับโลกในหลายสำนัก
คาแรกเตอร์เด่น:
ต้นตำรับแห่ง Pauillac ที่สมบูรณ์แบบ
ไวน์ที่ถ่ายทอด "DNA แห่ง Pauillac" ได้อย่างน่าทึ่ง – เข้มข้นแต่สง่างาม กลิ่นหอมลึกของแบล็กเคอร์แรนต์ กาแฟ ซีดาร์ และสมุนไพรแห้ง บ่งบอกถึงความคลาสสิกที่หาได้ยากในยุคใหม่
วินเทจระดับตำนานของยุคใหม่ (2016)
ปี 2016 ถือเป็นหนึ่งในวินเทจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ Médoc ยุคหลัง ด้วยสภาพอากาศอุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้ไวน์มีทั้งความสมดุล ความลึก และศักยภาพในการพัฒนาในขวดอย่างชัดเจน
โครงสร้างแน่น แทนนินเนียน และศักยภาพการเก็บสูงถึง 25 ปี
ไวน์มีโครงสร้างที่สง่างามแทบไร้ที่ติ แทนนินละเอียด ซับซ้อน และทรงพลังในแบบฉบับของ Grand Cru Classé ที่แท้จริง ดื่มตอนนี้ก็ยอดเยี่ยม แต่ถ้ารอได้ ไวน์จะเปิดเผยมิติใหม่ที่น่าทึ่งในอีกหลายปีข้างหน้า
แหล่งปลูกบนดินกรวดโบราณ – ลายเซ็นแห่ง Left Bank
ไร่องุ่นตั้งอยู่บนดินกรวดเก่าแก่ ซึ่งเป็น terroir ชั้นเลิศของ Pauillac ทำให้ไวน์มีโครงสร้างชัด มีความลึก และกลิ่นดินป่าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
2. Domaines Ott Etoile Rose
Domaines Ott (โดแม็งส์ อ็อตต์) คือหนึ่งในผู้บุกเบิกไวน์โรเซ่ระดับไฮเอนด์จากแคว้น Provence (โพรวองซ์) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ก่อตั้งเมื่อปี 1912 โดย Marcel Ott วิศวกรชาวแอลซาสที่มีความฝันจะสร้างไวน์ที่สะท้อน terroir อันแสนพิเศษของฝรั่งเศสตอนใต้
"Étoile" (เอโตวล์) ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “ดาว” เป็นผลงานระดับเรือธงรุ่นใหม่ของ Domaines Ott ซึ่งรวบรวมองุ่นจากทั้งสามไร่ชื่อดังของตระกูล Clos Mireille, Château Romassan และ Château de Selle เพื่อแสดงถึง “จิตวิญญาณแห่ง Provençal Rosé” ในแบบที่สง่างามและล้ำลึกที่สุด
ไวน์รุ่นนี้ถือเป็นการรวมศิลปะแห่งการทำไวน์โรเซ่ขั้นสูงสุด ที่สะท้อนความงดงามของธรรมชาติ แสงแดด และสายลมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในทุกหยด
คาแรกเตอร์เด่น:
“Étoile” – ดวงดาวแห่ง Provence ที่รวมทุกจิตวิญญาณของไร่ตระกูล Ott
ไวน์โรเซ่รุ่นเรือธงที่รวมองุ่นจาก 3 ไร่ระดับตำนาน: Clos Mireille, Château Romassan และ Château de Selle ถ่ายทอดความงามของ Provence ผ่านแสง แร่ และลมทะเล
กลิ่นหอมที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกินคำว่าโรเซ่ทั่วไป
สัมผัสโน้ตของพีชขาว ดอกส้ม เปลือกส้มแมนดาริน เคล้าด้วยกลิ่นดอกไม้ขาวและหินแร่ ทุกกลิ่นเหมือนภาพวาดของฤดูร้อนริมหาดโพรวองซ์
Blend ที่แม่นยำและทรงเสน่ห์: Grenache, Mourvèdre, Syrah
สายพันธุ์องุ่นแบบโพรวองซ์แท้ ๆ คัดเฉพาะจากแปลงที่ดีที่สุด เพื่อรังสรรค์โรเซ่ที่มีทั้งโครงสร้าง ความกลมกล่อม และน้ำหนักเบาอย่างมีระดับ
Terroir แห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สัมผัสได้ในทุกหยด
ไอเค็มจาง ๆ กลิ่นเปลือกหอย และความแร่ (minerality) คือผลลัพธ์จากไร่ใกล้ทะเลที่มอบมิติความสดชื่นแบบโรเซ่คลาสสิกที่ไม่เหมือนใคร
ขวด “ทรงหยดน้ำ” ที่เป็นซิกเนเจอร์ของ Domaines Ott
การออกแบบที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ ทั้งทันสมัย คลาสสิก และหรูหราในเวลาเดียวกัน เหมาะสำหรับการเสิร์ฟในโอกาสพิเศษ หรือเพิ่มเสน่ห์ให้โต๊ะอาหารในฤดูร้อน
3. Silver Oak Cabernet Sauvignon Napa Valley 2018
Silver Oak (ซิลเวอร์ โอ๊ค) คือชื่อที่ฝังรากลึกในหัวใจของคนรัก Cabernet Sauvignon จากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี 1972 โดย Ray Duncan และ Justin Meyer ด้วยปรัชญาเดียวที่ชัดเจน: “ทำเพียงแค่ Cabernet Sauvignon และทำให้ดีที่สุด”
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Silver Oak กลายเป็นสัญลักษณ์ของไวน์แดงจาก Napa Valley ที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ความละเอียด และกลิ่นอายแบบครอบครัว – ไวน์ที่ไม่ได้รีบร้อนเข้าสู่ตลาด แต่ใช้เวลาในการบ่มเพาะรสชาติอย่างลึกซึ้งในถังไม้โอ๊กอเมริกันที่พวกเขาทำขึ้นเอง (custom-toasted barrels)
วินเทจปี 2018 ถือเป็นหนึ่งในปีที่สมบูรณ์แบบของ Napa Valley ฤดูปลูกสงบนิ่ง อุณหภูมิสมดุล และการเก็บเกี่ยวที่สุกในจังหวะพอดีทุกองุ่น ทำให้ไวน์รุ่นนี้กลายเป็น “นิยามของ Cabernet Napa ที่บริบูรณ์และมีศักยภาพในการเก็บบ่ม”
คาแรกเตอร์เด่น:
สัญลักษณ์ของ Napa Valley Cabernet ที่แท้จริง
Silver Oak คือชื่อที่สะท้อน “ความคลาสสิกแบบอเมริกัน” ได้อย่างบริบูรณ์ ไวน์ที่เน้นเพียงแค่ Cabernet Sauvignon และทำด้วยความตั้งใจสูงสุด ส่งมอบรสชาติที่เต็มเปี่ยมด้วยมิติและความประณีต
วินเทจ 2018 – ปีทองของ Napa ที่สุกงอมอย่างสมบูรณ์
สภาพอากาศที่นิ่งและสมดุลตลอดฤดูกาล ส่งผลให้ไวน์วินเทจนี้โดดเด่นด้วยความกลมกล่อม ผลไม้สุกพอดี และโครงสร้างที่ยาวนาน พร้อมต่อการพัฒนาในระยะยาว
กลิ่นหรูหราสไตล์ Napa Cabernet
เปิดด้วยกลิ่นเชอร์รี่ดำ แบล็กเคอร์แรนต์ วานิลลา และโกโก้เข้ม ก่อนจะเผยกลิ่นรองของไม้ซีดาร์ ใบซิการ์ และสมุนไพรแห้ง มิติที่พัฒนาได้ต่อเนื่องยิ่งเมื่อบ่มในแก้วหรือขวด
ถัง American Oak ใหม่ 100% จากโรงผลิตของ Silver Oak เอง
หนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่มีโรงผลิตถังโอ๊ก (Cooperage) ของตัวเอง ทำให้ได้กลิ่นไม้ที่ละเมียด ผสานเข้ากับเนื้อไวน์อย่างนุ่มนวล ไม่ข่มผลไม้ เสริมเอกลักษณ์ให้เป็น Napa Cab ที่จำได้ไม่ลืม
ศักยภาพการบ่มน่าทึ่ง: 10–20 ปีข้างหน้ายังสดใหม่
เหมาะทั้งสำหรับนักดื่มในวันนี้ และนักสะสมที่ต้องการไวน์พัฒนากลิ่นโน้ตของหนังแท้ แร่ธาตุ และเสน่ห์ของ aged Cabernet ที่สง่างามอย่างแท้จริง
4. Louis Latour Marsannay Cote de Nuits
Marsannay (มาร์ซานเน่) คือหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่เหนือสุดของ Côte de Nuits ในแคว้น Burgundy และเป็นประตูสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่ง Pinot Noir โดยแท้จริง ที่นี่คือ AOC เดียวใน Burgundy ที่สามารถผลิตไวน์แดง ขาว และโรเซ่ได้ในชื่อเดียวกัน
Louis Latour (หลุยส์ ลาตูร์) คือหนึ่งในตระกูลผู้ผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดของบูร์กอญ ก่อตั้งในปี 1797 และยังคงดำเนินกิจการโดยคนในครอบครัวมากว่า 200 ปี ด้วยชื่อเสียงในการคัดสรรแปลงองุ่นคุณภาพเยี่ยม และสไตล์การทำไวน์ที่ซื่อสัตย์ต่อ terroir มากที่สุด
Marsannay จาก Louis Latour คือหนึ่งในผลงานที่แสดงความ “พิถีพิถันแต่เข้าถึงได้” ของ Burgundy อย่างแท้จริง ให้สัมผัสที่คลาสสิก สดใส และเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่ง Pinot Noir ที่สะอาดและมีพลัง
คาแรกเตอร์เด่น:
ไวน์ Pinot Noir ที่สะท้อนจิตวิญญาณของ Côte de Nuits อย่างแท้จริง
กลิ่นเบอร์รี่แดงสด สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี่ เปลือกส้มแห้ง และดอกไม้แห้ง Marsannay จาก Louis Latour ถ่ายทอดความสดใสและอ่อนช้อยของ Burgundy ด้านเหนือได้อย่างหมดจด
โครงสร้างเบาแต่สมดุล ดื่มง่าย และน่าหลงใหลตั้งแต่เปิดขวดแรก
แม้ไม่เข้มเท่าพี่ใหญ่อย่าง Gevrey-Chambertin แต่ Marsannay ให้รสสัมผัสที่ “คลาสสิกและมีชีวิตชีวา” เหมาะกับคนที่เริ่มหลงใหลในโลกของ Pinot Noir หรือผู้ที่ต้องการไวน์ดื่มสบาย ๆ ในทุกโอกาส
บ่มในถัง French Oak อย่างพอเหมาะ – หรูหราแต่ไม่ครอบงำ
กลิ่นวานิลลา ถั่วอบ และ Earthy เบา ๆ เข้ามาเสริมผลไม้ โดยไม่แย่งซีน เป็นการบ่มที่เคารพ terroir และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Côte de Nuits ได้อย่างกลมกลืน
ไวน์จากตระกูล Louis Latour – หนึ่งในผู้ครองประวัติศาสตร์แห่ง Burgundy
ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1797 Louis Latour คือชื่อที่การันตีถึงคุณภาพ ความซื่อสัตย์ต่อ terroir และสไตล์ที่บริสุทธิ์ Marsannay ขวดนี้จึงเป็นมากกว่าไวน์ดื่มง่าย แต่คือ “บทนำของ Burgundy ที่ดีจริง”
เหมาะทั้งดื่มวันนี้ หรือเก็บต่ออีก 3–5 ปี
ไวน์ที่พร้อมดื่มทันทีด้วยความสดใสที่น่ารื่นรมย์ แต่ถ้าเก็บไว้ กลิ่นโน้ตของพืชป่า เห็ด และหนังแท้จะค่อย ๆ เปิดเผยอย่างนุ่มนวลขึ้นเรื่อย ๆ
5. Fraser Gallop Margaret River Parterre Chardonnay
Margaret River (มาร์กาเร็ต ริเวอร์) คือหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์คุณภาพสูงที่สุดของออสเตรเลีย โดยเฉพาะไวน์ขาวอย่าง Chardonnay ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Burgundy แต่มาพร้อมพลังและบุคลิกเฉพาะตัวจากทะเลอินเดีย
Fraser Gallop Estate (เฟรเซอร์ แกลลอป) เป็นผู้ผลิตไวน์รุ่นใหม่ที่ก่อตั้งเมื่อปลายทศวรรษ 1990 โดยมุ่งมั่นผลิตไวน์ที่ “แสดงความบริสุทธิ์ของผลไม้ และความซับซ้อนของ terroir” ภายใต้สไตล์ที่ใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน
ไวน์ Parterre Chardonnay เป็นเรือธงของไร่ ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งใน Chardonnay ที่ “สมดุลระหว่าง Burgundy-style กับ New World finesse” ได้อย่างงดงาม เหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลในความละเอียดอ่อนของไวน์ขาวระดับพรีเมียม
คาแรกเตอร์เด่น:
สไตล์ Burgundy ที่มีพลังแบบออสเตรเลียตะวันตก
ไวน์ที่เปี่ยมไปด้วยความละเมียดของชาร์ดอนเนย์สไตล์ฝรั่งเศส ผสานกับพลังแสงแดดและความบริสุทธิ์ของผลไม้จากทะเลอินเดีย เป็นไวน์ที่รวม “ซับซ้อน” และ “สดใส” ไว้ในขวดเดียว
กลิ่นผลไม้สุกละเอียด พร้อมกลิ่นบัตเตอร์นัทและขนมอบ
เปิดด้วยเลมอน ลูกแพร์ เมลอน และกลิ่นอัลมอนด์ขูด ผสานบัตเตอร์นัทและกลิ่นขนมปังอบเบา ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเช้าวันอาทิตย์ริมทะเลที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
บ่ม French Oak อย่างแม่นยำ – เสริมรสโดยไม่ครอบงำ
ใช้ถังใหม่บางส่วนเพื่อเพิ่มโครงสร้าง แต่ยังคงให้ผลไม้โดดเด่นเป็นพระเอก รสชาติเนียนละเอียด มีความเค็มแร่จาง ๆ ที่บ่งบอกถึง terroir ริมทะเลของ Margaret River
ไวน์ขาวเนื้อแน่น มี texture และความเค็มแร่ (Minerality)
Chardonnay ขวดนี้มีทั้ง “กล้ามเนื้อ” และ “ความสง่างาม” เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาไวน์ขาวที่ดื่มสนุก มีพลัง แต่ยังคงความประณีตในทุกรายละเอียด
จับคู่กับอาหารทะเลได้อย่างลงตัว
ด้วยความสดใสของกรด และ texture ที่แน่นพอดี จึงเหมาะอย่างยิ่งกับหอยนางรม เนื้อปลาอบสมุนไพร หรือซอสเนยขาวที่ต้องการไวน์มีโครงสร้างมารับรสอาหาร
6. Castello di Fonterutoli Siepi Toscana IGT
หากพูดถึงไวน์จากแคว้น Tuscany ที่สามารถสะท้อนทั้ง “รากเหง้า” และ “วิสัยทัศน์ใหม่” ของอิตาลีได้อย่างสมดุล Castello di Fonterutoli Siepi คือชื่อที่ไม่อาจมองข้ามได้
Siepi (เซียปี) คือไวน์ระดับ Super Tuscan จาก Mazzei Family (มาเซอี) หนึ่งในตระกูลผู้ผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี มีประวัตินับย้อนกลับไปได้ถึงปี 1435 ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างไวน์ “ที่ดีที่สุด” จากไร่ประวัติศาสตร์ของพวกเขาในแคว้น Chianti Classico
ไร่ Siepi ตั้งอยู่ที่ความสูงกว่า 400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บนภูเขาหินปูนและแร่ธาตุในเขต Castellina in Chianti เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ “เย็นและสูงที่สุด” ของแคว้น ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตไวน์ที่มีทั้งพลังและความสง่างาม
Siepi เริ่มผลิตครั้งแรกในปี 1992 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผสานสองวัฒนธรรม: Sangiovese แห่งอิตาลี กับ Merlot แห่งฝรั่งเศส อย่างลงตัว
คาแรกเตอร์เด่น:
Iconic Super Tuscan ที่ผสานความเป็นอิตาลีกับฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์
Siepi คือสัญลักษณ์ของการหลอมรวม Sangiovese กับ Merlot อย่างปราณีต แสดงความซื่อสัตย์ต่อดินแดน Chianti พร้อมมิติหรูหราของโลกไวน์สมัยใหม่
Blend สุดหรู 50% Sangiovese + 50% Merlot
Sangiovese มอบกลิ่นเชอร์รี่ ใบยาสูบ และกรดสด ส่วน Merlot เสริมความหวานฉ่ำของพลัม ช็อกโกแลต และแทนนินนุ่มละมุน เป็นไวน์ที่ทั้งทรงพลังและสง่างามอย่างมีระดับ
ไร่ Siepi – เนินสูงที่เย็นที่สุดใน Chianti Classico
องุ่นปลูกบนความสูงกว่า 400 เมตร บนดินหินปูนผสมแร่ธาตุ ทำให้ไวน์มี acidity สด ความยาวรสยอดเยี่ยม และศักยภาพการเก็บบ่มที่ยาวนาน เหมาะทั้งดื่มวันนี้ หรือเก็บต่อ 10–20 ปี
บ่มในถัง French Oak ใหม่ 18 เดือน – หรูหราแบบละเอียด
โน้ตวานิลลา ถั่วอบ หนัง เครื่องเทศ และ Earthy tone ค่อย ๆ เปิดตัวอย่างซับซ้อน เพิ่มมิติให้เนื้อไวน์ที่แน่นและมีความลึกแบบไร้รอยต่อ
คะแนนระดับโลกจากนักวิจารณ์ชั้นนำ
Siepi เป็นหนึ่งใน Super Tuscan ที่ได้รับคำชมอย่างสม่ำเสมอจาก James Suckling, Robert Parker และ Wine Spectator เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สะสมไวน์ระดับพรีเมียม
7. Casanova di Neri Brunello di Montalcino DOCG
ในดินแดนแห่ง Brunello di Montalcino ที่เต็มไปด้วยชื่อเสียงและผู้ผลิตระดับตำนาน มีหนึ่งชื่อที่เปล่งประกายขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา นั่นคือ Casanova di Neri (คาซาโนวา ดิ เนรี)
ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 โดย Giovanni Neri ชายผู้มีวิสัยทัศน์และหลงใหลใน terroir ของ Montalcino อย่างแท้จริง Casanova di Neri สร้างชื่อเสียงระดับโลกด้วยการผสมผสาน “สไตล์ดั้งเดิมของ Brunello” เข้ากับความละเมียดละไมของยุคใหม่ กลายเป็น Brunello ที่ทั้งสง่างาม เข้มข้น และมีชั้นเชิงที่นักสะสมไวน์ทั่วโลกต่างหลงรัก
ไร่องุ่นของ Neri ตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกของ Montalcino ที่ซึ่งแสงแดด อากาศเย็น และดินที่หลากหลายสร้างเงื่อนไขสมบูรณ์สำหรับ Sangiovese Grosso องุ่นพันธุ์พื้นเมืองที่เป็นหัวใจของ Brunello แห่งนี้
คาแรกเตอร์เด่น:
Brunello สไตล์ “Power Meets Elegance” ที่โลกยอมรับ
Casanova di Neri สร้างไวน์ Brunello ที่แสดงความเข้มข้น เต็มเนื้อสัมผัส แต่ยังคงความสง่างามและความละเอียดแบบไร้รอยต่อ เป็น Brunello ที่ทั้งนักสะสมและนักดื่มต่างกล่าวขาน
100% Sangiovese Grosso จากไร่คัดพิเศษ
ใช้เฉพาะผลผลิตจากแปลงคุณภาพเยี่ยมใน Montalcino ทางตะวันออก ที่ดิน หิน และอากาศเย็นทำให้องุ่นพัฒนาได้เต็มที่ ได้ไวน์ที่สด แน่น และมีมิติลึก
กลิ่นโน้ตคลาสสิกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงในแก้ว
กลิ่นเชอร์รี่ดำ รากชะเอม ใบยาสูบ กลิ่นหนังจาง ๆ และแร่ธาตุ ผสานเครื่องเทศจากการบ่ม ทำให้ทุกครั้งที่ดื่มเหมือนการเดินทางผ่านวิวัฒนาการของไวน์
เทคนิคบ่มแบบผสมผสาน – large casks & barriques
ไวน์บ่มในทั้งถังใหญ่และบาริกส์ เพื่อสร้างบาลานซ์ระหว่างโครงสร้างซับซ้อนกับการรักษาผลไม้สด ทำให้ไวน์มีความลึกแต่ไม่หนักจนเกินไป
ศักยภาพการบ่มที่ยอดเยี่ยม 10–20 ปีขึ้นไป
แม้จะดื่มได้ตั้งแต่วันนี้ แต่การเก็บบ่มจะเปิดเผยมิติใหม่ของกลิ่นหนัง เกลือแร่ และความหอมเข้มข้นแบบ Brunello ที่พัฒนาได้ยาวนานอย่างสง่างาม
8. Heitz Cellar Napa Valley Cabernet Sauvignon
หนึ่งใน “ผู้บุกเบิกไวน์สไตล์คลาสสิกของ Napa Valley” ชื่อของ Heitz Cellar (ไฮท์ซ์ เซลลาร์) คือหนึ่งในเสียงที่หนักแน่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการไวน์อเมริกัน
ก่อตั้งในปี 1961 โดย Joe Heitz ผู้มีความเชื่อมั่นว่า Napa Valley มีศักยภาพในการสร้างไวน์คุณภาพระดับโลก Heitz กลายเป็นผู้บุกเบิกไวน์สไตล์ “old-world elegance” ในแคลิฟอร์เนีย และเป็นคนแรกที่สร้าง ไวน์ “single-vineyard Cabernet Sauvignon” อย่าง Heitz Martha’s Vineyard ที่เป็นไอคอนระดับโลก
ไวน์ Napa Valley Cabernet Sauvignon ขวดนี้ จึงไม่ใช่แค่ตัวแทนขององุ่น Napa Valley เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดปรัชญาของ Heitz ที่ว่า “ไวน์ควรมีโครงสร้าง ความสด และความสง่างามที่อยู่เหนือกาลเวลา” อย่างแท้จริง
คาแรกเตอร์เด่น:
หนึ่งในผู้บุกเบิก Cabernet Sauvignon แบบ Single-Vineyard ในอเมริกา
Heitz คือชื่อที่ฝังรากในประวัติศาสตร์ Napa Valley ด้วยการสร้างสไตล์ “Cabernet ที่สง่างามและมีโครงสร้าง” ในยุคที่โลกยังเน้นแต่พลังเข้มข้น กลายเป็นมาตรฐานของ “Old-School Napa ที่ยังสดและทรงพลัง”
Cabernet Sauvignon 100% จากแปลงคุณภาพในเขตดัง
ไวน์ขวดนี้รวมองุ่นจาก Oakville, Rutherford และ Howell Mountain แต่ละแหล่งปลูกเสริมมิติให้กันและกันอย่างลงตัว จึงได้ไวน์ที่ซับซ้อน กลมกล่อม และน่าติดตามในทุกแก้ว
กลิ่นโน้ตคลาสสิกแบบ Bordeaux: เชอร์รี่ดำ มิ้นต์ เครื่องเทศ ใบยาสูบ
แสดงถึงรากฐานของไวน์ในแบบ Old World พร้อมกลิ่นไม้โอ๊ก แร่ธาตุ และสัมผัส Earthy ที่ทำให้ไวน์มีบุคลิกเฉพาะตัวไม่เหมือนใครใน Napa
บ่มยาวนานกว่า 3 ปี – พร้อมดื่มทันที ไม่ต้องรอให้นุ่ม
Heitz เป็นหนึ่งในไม่กี่รายที่บ่มไวน์ในโอ๊กนาน 2 ปี และเก็บในขวดต่อจนพร้อมขาย ทำให้ทุกขวดมีความกลมกล่อมโดยไม่ต้องเก็บรออีกหลายปี
สมบูรณ์แบบสำหรับ Fine Dining และคนรัก Cabernet สไตล์ที่สง่างาม
ไวน์ที่เนื้อสัมผัสเรียบหรู ไม่บาดคอ และมีกลิ่นหอมคลาสสิก เหมาะกับเมนูสเต็กซอสไวน์แดง เนื้อแกะย่าง พาสต้าเห็ดทรัฟเฟิล หรือจะจิบเดี่ยว ๆ ก็เพลินได้ไม่รู้จบ
9. Taittinger Prestige Rose
Taittinger (แต็งแตงเช่) คือหนึ่งในบ้านแชมเปญที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่และยังคงดำเนินการโดยคนในตระกูลเอง ซึ่งหาได้ยากในยุคที่แบรนด์ส่วนใหญ่ถูกรวมเข้ากับกลุ่มทุนรายใหญ่ Taittinger มีรากเหง้าย้อนกลับไปถึงปี 1734 และมีชื่อเสียงในด้านการผลิตแชมเปญที่เน้นความละเมียด ความสดใส และความสง่างาม
Taittinger Prestige Rosé ถือกำเนิดจากปรัชญาที่ว่า "แชมเปญโรเซ่ไม่จำเป็นต้องเข้มเกินไป แต่อาจเป็นความงามที่สดใสและมีจังหวะของชีวิต"
ด้วยสัดส่วน Pinot Noir สูง และการใส่ไวน์แดงหมักแบบพิเศษเข้ามาผสมอย่างมีศิลปะ Prestige Rosé ขวดนี้จึงกลายเป็นหนึ่งใน Rosé Champagne ที่ได้รับการยอมรับว่าสวยทั้งรสชาติ สี และบุคลิก
คาแรกเตอร์เด่น:
แชมเปญโรเซ่ที่แสดง “ความสง่างาม” มากกว่า “พลัง”
Taittinger Prestige Rosé คือการตีความ Rosé ในแบบหรูหราสดใส ไม่เน้นความเข้ม แต่เปล่งประกายด้วยความละเอียด ความบาลานซ์ และความอ่อนช้อยที่โดดเด่นบนโต๊ะฉลองหรือดินเนอร์สุดพิเศษ
Pinot Noir เกือบ 50% + ไวน์แดงหมักพิเศษ 15%
ใช้องุ่น Pinot Noir จากกว่า 30 แปลงชั้นเลิศในแคว้น Champagne พร้อมผสมไวน์แดง Pinot Noir แบบเต็มตัวเพื่อสร้าง “สีแซลมอน” ที่หรูหราและรสสัมผัสผลไม้แดงที่สดชัด
กลิ่นหอมแบบ Red Berry & Floral ที่สดใส
สตรอว์เบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ เชอร์รี่ ผสานดอกกุหลาบขาวและกลิ่นขนมอบแผ่ว ๆ จากการบ่มในขวด ให้ความรู้สึกเหมือนงานเต้นรำที่ละเอียดอ่อนในแก้ว
บ่มแบบ Méthode Traditionnelle นานกว่า 3 ปี – ฟองเนียนละไม
ฟองละเอียดระดับ silky mousse ยาวนานและสดชื่นบนปลายลิ้น เสริมให้แชมเปญขวดนี้ดื่มง่ายและหรูหราในเวลาเดียวกัน
เข้าคู่ได้หลากหลาย: ของหวาน อาหารเอเชีย หรือดื่มเดี่ยวก็หรู
เหมาะทั้งการจิบในงานเลี้ยง จานแซลมอนรมควัน, เป็ดซอสเบอร์รี่, ซูชิ หรือขนมพายผลไม้ เป็น Rosé Champagne ที่ “คู่ได้กับทุกจังหวะของชีวิต”
10. Duluc De Branaire Ducru Saint-Julien Second wine of Chateau Branaire-Ducru
Château Branaire-Ducru (ชาโต บรานแนร์-ดูครู) คือหนึ่งใน Grand Cru Classé แห่ง Médoc ที่โดดเด่นใน Saint-Julien – แคว้นที่มีชื่อเสียงในด้านไวน์ที่สมดุลระหว่างพลังของ Cabernet และความละมุนละไมของ Merlot
ด้วยประวัติที่สืบทอดตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และการยึดมั่นในความประณีตแบบดั้งเดิม ผสานกับนวัตกรรมการทำไวน์ยุคใหม่ Château Branaire-Ducru ได้สร้างสรรค์ไวน์ Grand Vin ที่ได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์ทั่วโลก
Duluc de Branaire-Ducru คือไวน์ฉลากรองที่เกิดขึ้นจากแนวคิดว่า ไวน์คุณภาพเยี่ยมไม่จำเป็นต้องรอหลายปี มันควรดื่มได้ตั้งแต่วันนี้
ไวน์รุ่นนี้ตั้งชื่อตาม Jean-Baptiste Duluc บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของที่ดินแห่งนี้ เป็นการให้เกียรติและสะท้อนถึง "รากเหง้าที่แท้จริง" ของ Branaire-Ducru
คาแรกเตอร์เด่น:
Second Wine จาก Château Branaire-Ducru – Grand Cru Classé แห่ง Saint-Julien
Duluc คือไวน์ฉลากรองที่ยังคงกลิ่นอายและความประณีตแบบเดียวกับ Grand Vin ของ Branaire-Ducru มอบประสบการณ์ Bordeaux Left Bank ที่ “ดื่มง่ายขึ้น” แต่ไม่ลดระดับคุณภาพ
Blend แบบ Bordeaux ดั้งเดิมที่สง่างามและกลมกล่อม
ผสมผสาน Cabernet Sauvignon, Merlot, Cabernet Franc และ Petit Verdot อย่างลงตัว ได้ทั้งโครงสร้างแน่นแบบ Saint-Julien และความละมุนละไมที่เปิดดื่มได้ไวกว่า
กลิ่นหอมคลาสสิกของ Bordeaux ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
โน้ตของเชอร์รี่ดำ พลัมสุก มอคค่า วานิลลา และซีดาร์จากการบ่มในถัง French Oak ประมาณ 12 เดือน กลิ่นที่ลึกแต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะกับการดื่มในทุกโอกาส
โครงสร้างสมดุล ดื่มง่ายในช่วง 5–10 ปีแรก
แทนนินเนียนละเอียด ให้ความรู้สึกสมาร์ท ไม่ดุดันเกินไป เป็น Bordeaux ที่ “พร้อมดื่ม” โดยไม่ต้องรอให้ถึงจุดพีคแบบไวน์รุ่นใหญ่
ตัวเลือกคุณภาพสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและนักสะสม
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากสัมผัส Grand Cru DNA ในราคาที่เข้าถึงได้ และสำหรับนักสะสมที่ต้องการไวน์คุณภาพสูงจาก Médoc ไว้เปิดในโอกาสพิเศษแบบไม่ต้องลังเล